อัพเดทเนื้อหาให้คุณได้รู้ก่อนใคร...

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

สาระสำคัญของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้เนื่องจากตำแหน่งปลัดอำเภอไม่ได้ใช้กฎหมายโดยตรงอย่างผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เป็นต้น ดังนั้นจึงได้นำเนื้อหาที่สำคัญ เฉพาะเป็นประเด็นสอบเท่านั้น ดังนั้นแม้เนื้อหาของประมวลกฎหมายนี้จะเยอะ ให้ท่านมั่นใจได้เลยว่าอ่านแค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับความรู้ที่จะใช้สอบในวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะหนังสือของสำนักอื่นฯ ก็ไม่ได้เขียนไว้แต่อย่างใด หรือแนะนำให้ไปอ่านประมวลโดยตรง ซึ่งเนื้อหาก็มาก จนไม่รู้ว่าจะไปอ่านตรงไหน หรือตรงไหนคือสาระสำคัญ แต่ทาง ว.วิชาการก็ได้นำสาระสำคัญที่เกี่ยวกับปลัดอำเภอที่กรมการปกครอง สามารถออกข้อสอบได้มาให้ท่านได้ศึกษา ดังนี้ 1. ความหมายและนิยามที่สำคัญ “ผู้ต้องหา” หมายความถึง บุคคลผู้ถูกหาว่าได้กระทำความผิด แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล “จำเลย” หมายความถึง บุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้วโดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ” หมายความถึงเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่” หมายความถึง เจ้าพนักงานดังต่อไปนี้ 1. ปลัดกระทรวงมหาดไทย 2. รองปลัดกระทรวงมหาดไทย 3. ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 4. ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย 5. อธิบดีกรมการปกครอง 6. รองอธิบดีกรมการปกครอง…

กฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง

สาระสำคัญของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในการสอบปลัดอำเภอนั้นนำมาออกข้อสอบแต่ไม่มากประมาณ 1 – 2 ข้อ เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นเป็นกฎหมายที่บังคับระหว่างเอกชนกับเอกชนมากกว่า ไม่ใช่กฎหมายที่เกี่ยวกับรัฐและเอกชน แต่ก็ออกข้อสอบทุกครั้งที่มีการสอบปลัดอำเภอ เนื่องจากได้กำหนดไว้ในหลักสูตรการสอบ เพื่อให้ครอบคลุม และไม่ให้คะแนนเสียไป เพราะหนึ่งคะแนนในการสอบปลัดอำเภอนั้นมีความหมายมาก ทาง ว.วิชาการ จึงได้นำหลักกฎหมายที่เคยออกข้อสอบ และเป็นหัวใจหรือ Keyword “คีย์เวิร์ด” สำคัญที่สามารถนำมาเป็นข้อสอบได้ จึงทำให้ท่านผู้อ่านมั่นใจได้ว่าในส่วนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพียงแค่อ่านหลักกฎหมายต่อไปนี้ ก็ทำข้อสอบได้แล้ว 1. ความหมายและนิยามที่สำคัญ 1. “คำฟ้อง” หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาลไม่ว่าจะได้เสนอด้วยวาจาหรือทำเป็นหนังสือ ไม่ว่าจะได้เสนอต่อศาลชั้นต้น หรือชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอหรือเสนอในภายหลังโดยคำฟ้องเพิ่มเติมหรือแก้ไข หรือฟ้องแย้งหรือโดยสอดเข้ามาในคดีไม่ว่าด้วยสมัครใจ หรือถูกบังคับ หรือโดยมีคำขอให้พิจารณาใหม่ 2. “คำให้การ” หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งยกข้อต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้อง 3. “คำคู่ความ”…

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้ยกร่าง รัฐบาลเป็นผู้ตรา เริ่มใช้ ณ วันที่ 6 เมษายน 2560 (วันเริ่มใช้รัฐธรรมนูญ คือวันเดียวกันกับวันที่ลงนามรับรองและประกาศ) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ลงนามรับรอง รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ มีทั้งหมด 16 หมวด 279 มาตรา 1 บทเฉพาะกาล ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 134 ตอนที่ 40 ก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ (ความเป็นรัฐเดียว ม.1) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (รูปแบบการปกครอง ม.2) อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี…

กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

การบริหารราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงาน 1.1 หลักการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการจะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและการสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติก็ได้ 1.2 หลักการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารราชการแผ่นดินให้จัดระเบียบการบริหารดังนี้ 1. ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง 2. ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค 3. ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น 1.3 หลักการแบ่งส่วนราชการ การแบ่งราชการออกเป็นส่วนต่าง ๆ ให้กำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนโดยคำนึงถึงคุณภาพและปริมาณงานของส่วนราชการนั้น ๆ ส่วนราชการที่อยู่ในการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางมีฐานะเป็นนิติบุคคล ดังนี้ 1. สำนักนายกรัฐมนตรี (มีฐานะเป็นกระทรวง) 2. กระทรวง หรือทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง 3. ทบวง ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง 4. กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม…

กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน

ในส่วนของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนมีสาระสำคัญที่เราต้องศึกษาและทำความเข้าใจทั้งหมด 9 ส่วน บังคับใช้วันที่ 26 มกราคม 2551 นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการ โดยมีนิยามที่สำคัญดังนี้ “ข้าราชการพลเรือน” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ให้รับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณในกระทรวง กรมฝ่าย พลเรือน “ข้าราชการฝ่ายพลเรือน” หมายความว่า ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการอื่นในกระทรวงกรมฝ่ายพลเรือน ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น “ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.” อยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี ถ้าตำแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกำหนดและยังมีกรรมการเหลืออยู่อีกไม่น้อยกว่า 3 คนให้กรรมการที่เหลือปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เมื่อตำแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกำหนดให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนภายในกำหนด 30 วัน เว้นแต่วาระของกรรมการเหลือไม่ถึง 180 วันจะไม่แต่งตั้งกรรมการแทนก็ได้ และกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้ ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ…

กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ตราไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (บังคับใช้วันที่ 14 พฤษภาคม 2540) การนำไปใช้และความเป็นกฎหมายกลาง วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายใดกำหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่องใดไว้โดยเฉพาะและมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรม หรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง[1] วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองวรรคก่อนมิให้ใช้บังคับกับขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งที่กำหนดในกฎหมาย[2] ห้ามบังคับใช้กับหน่วยงานหรือการดำเนินงานดังต่อไปนี้ 1. รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี[3] 2. องค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ 3. การพิจารณาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง 4. การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลและการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับคดี และการวางทรัพย์ 5. การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์และการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา 6. การดำเนินงานเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ 7. การดำเนินงานเกี่ยวกับราชการทหาร 8. การดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา…

กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มีความมุ่งหมายที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นโดยความไม่ตั้งใจหรือความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในการปฏิบัติหน้าที่และไม่ต้องการให้นำหลักเรื่องลูกนี้ร่วมในกฎหมายแพ่งมาใช้บังคับกับเจ้าหน้าที่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้อื่นโดยมุ่งหมายแต่เพียงจะให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนครบตามจำนวน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรมที่จะมีต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่และบั่นทอนขวัญและกำลังใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่จนเป็นปัญหาในการบริหารราชการ[1] พระราชบัญญัตินี้มีการ บังคับใช้วันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 เป็นต้นมามีเนื้อหาเพียง 15 มาตรา ซึ่งง่ายต่อการทำความเข้าใจ และการออกข้อสอบนั้นสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ถามตรงตามตัวบทกฎหมาย และถามในลักษณะที่เป็นโจทย์ตุ๊กตา[2] เจ้าหน้าที่ หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ[3] หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้…

กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ

หลักการหรือแนวความคิดของกฎหมายฉบับนี้ คือ สิ่งใดที่เป็น “ข้อมูลข่าวสารของราชการ” ย่อมเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไปได้เสมอ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประชาชนทุกคนย่อมเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ เพราะแนวคิดตามกฎหมายเดิมจะมีอยู่ว่า “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น” รูปธรรมที่ตามมาจากแนวคิดเดิม คือ เอกสารส่วนใหญ่ของราชการจะตีตราว่า ปกปิด ลับ ลับมาก หรือลับที่สุด หรือสถานที่ราชการห้ามเข้า เป็นต้น แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มีการปฏิรูปการเมือง จึงเกิดหลักประกันการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการให้แก่ประชาชน ซึ่งก็คือกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่ให้ประชาชนตรวจสอบการทำงานของราชการได้ อันจะส่งผลให้การปฏิบัติราชการมีความโปร่งใสมากขึ้น และแนวคิดใหม่ของกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ คือ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” แรกทีเดียวมีผู้เสนอว่ากฎหมายนี้ควรชื่อว่า “กฎหมายว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ” แต่เกรงว่าอาจทำให้ประชาชนทั่วเข้าใจผิดว่าข้อมูลข่าวสารของราชการทุกประเภทจะต้องเปิดเผย เพราะในความเป็นจริงอาจมีข้อมูลข่าวสารบางรายการสมควรเก็บไว้เป็นความลับ กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น “จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ” เนื่องจากเป็นการ “เปลี่ยนกระบวนทัศน์” หรือมุมมองเกี่ยวกับโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการโดยประชาชน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องทำตัวให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายนี้ และในขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องขยันใช้กลไกของกฎหมายนี้อย่างสุจริตด้วย เพื่อให้การตรวจสอบการทำงานของข้าราชการเป็นผลอย่างจริงจัง พระราชบัญญัตินี้ตราขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด…

พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

ความเป็นมาของพระราชกฤษฎีกานี้คือ มาตรา 3/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและการสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พระราชกฤษฎีกานี้จึงบังคับใช้วันที่ 10 ตุลาคม 2546 เป็นต้นมาโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการ และการปฏิบัติราชการในเรื่องใดสมควรที่ส่วนราชการใดจะปฏิบัติเมื่อใด และมีเงื่อนไขอย่างใดให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามข้อเสนอแนะของ ก.พ.ร. “ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในกำกับของราชการฝ่ายบริหาร แต่ไม่รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ได้แก่ การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังนี้ 1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน 2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ 3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ 4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น 5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์ 6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ 7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ การบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หมายถึง…

ระเบียบเกี่ยวกับงานสารบรรณ

เหตุที่ต้องมีการจัดระเบียบงานสารบรรณขึ้น ก็เนื่องด้วยองค์การต่างๆ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวใหญ่ขึ้น สลับซับซอนขึ้น งานหนังสือก็ต้องมากขึ้นตามตัว และหากองค์การใดที่ไม่มีการจัดระเบียบงานสารบรรณแล้ว ก็เป็นที่แน่นอนว่า เอกสารจะมากขึ้นๆ กองทับถมซับซ้อนยากแก่การค้นหาเมื่อต้องการใช้ ฉะนั้น องค์การนั้นก็ไม่สามารถที่จะบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทันท่วงทีได้ จึงนับว่างานสารบรรณมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลไม่น้อยระเบียบนี้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2526 มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการ และมีสาระสำคัญดังนี้ “งานสารบรรณ” หมายความว่า งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การจัดทำการรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม จนถึงการทำลาย “หนังสือ” หมายความว่า หนังสือราชการ “อิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน และให้หมายความรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง วิธีการทางแม่เหล็ก หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้วิธีต่างๆ เช่นว่านั้น “ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า การรับส่งข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือผ่านระบบสื่อสารด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หนังสือ มี 6 ชนิด คือ 1.

ระเบียบเกี่ยวกับการรักษาความลับของทางราชการ

ในส่วนนี้มีระเบียบที่ต้องศึกษาอยู่ 2 ระเบียบคือ ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการและทุก 5 ปีเป็นอย่างน้อย ให้นายกรัฐมนตรีจัดให้มีการทบทวนการปฏิบัติการและพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบนี้ให้เหมาะสม บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2544 เป็นต้นมาโดยมีนิยามที่สำคัญดังนี้ 1.1 นิยาม “ข้อมูลข่าวสารลับ” หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยและอยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ[1] ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐหรือที่เกี่ยวกับเอกชนซึ่งมีการกำหนดให้มีชั้นความลับเป็น ชั้นลับชั้นลับมาก หรือชั้นลับที่สุด “หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ”[2] หมายความว่า 1. หัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล 2. ผู้ว่าราชการจังหวัด สำหรับราชการส่วนภูมิภาค[3] 3. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี ประธานสภาตำบล ประธานกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล[4] นายกเมืองพัทยา สำหรับราชการส่วนท้องถิ่น 4.

กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ

พระราชบัญญัติการจัดชื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 1.1 ความเป็นมา เดิมการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ มีระเบียบใช้ปฏิบัติที่หลากหลาย ไม่มีกฎหมายกลางคือต่างหน่วยงานต่างใช้ ราชการส่วนกลาง และราชการส่วนภูมิภาค ก็จะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 (Electronic Auction : e - Auction) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ก็จะใช้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อหน่วยงานของรัฐต่างก็ใช้กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้ไม่มีมาตรฐานกลาง การไม่มีระบบการรวมศูนย์การจัดซื้อจัดจ้าง และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน ทำให้ยากแก่การตรวจสอบ รัฐบาลประสงค์ให้มีกฎหมายกลาง “เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐมีกรอบการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานกลางเพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งนำไปปฏิบัติ...” กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางจึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ... สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)…

ความรู้ด้านวิชาทางการเมือง การปกครอง และการบริหารราชการแนวใหม่

1.1 ความหมายของการเมือง การปกครอง การเมือง (Politics) หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับการแข่งขันเพื่อแสวงหาอำนาจ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับการแสวงหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมหรือส่วนใหญ่ของสังคม การปกครอง (Government) คือการใช้อำนาจอธิปไตยตามกฎหมายในการบริหารและจัดการประเทศ การปกครองมีหลายรูปแบบ เช่น การปกครองแบบประชาธิปไตย และการปกครองแบบเผด็จการ นอกจากนี้การปกครองยังมีได้หลายระดับ เช่น การปกครองส่วนกลาง การปกครองส่วนภูมิภาค และการปกครองส่วนท้องถิ่น การเมืองและการปกครองจะมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เพราะการปกครองจำเป็นต้องอาศัยอำนาจคือการเมืองจึงจะสามารถดำเนินการได้สำเร็จ ดังนั้นการศึกษาเรื่องการเมืองการปกครองจึงหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับองค์กรที่ใช้อำนาจและระเบียบกฎเกณฑ์การใช้อำนาจทางการบริหาร 1.2 การเมืองไทย การเมืองไทยในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวซึ่งมีการปกครองในกรอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาภายใต้ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่พระมหากษัตริย์ ซึ่งปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นประมุขแห่งรัฐ ส่วนนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันคือประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐบาลไทยเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติอยู่กับรัฐสภาไทย ซึ่งแบ่งเป็นสองสภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ โดยมีประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นประมุขในส่วนของตน (…

วิสัยทัศน์ พันธกิจ โครงสร้าง อำนาจหน้าที่และภารกิจของกรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย

กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นเสนาบดีรับผิดชอบงานมหาดไทย หรืองานการปกครองประเทศและได้มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ให้ชัดเจนไม่ซ้ำซ้อนกัน โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งหมด เพียงกระทรวงเดียว กระทรวงมหาดไทยเมื่อแรกตั้งแบ่งออกเป็น 3 กรม มีชื่อเรียกตามทำเนียบเดิม แต่ให้มีหน้าที่ต่างกัน คือ กรมมหาดไทยกลาง เป็นพนักงานทำการทุกอย่าง ซึ่งมิให้แยกออกไปเป็นหน้าที่กรมอื่น กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ให้เป็นเจ้าหน้าที่แผนกการปราบปรามโจรผู้ร้ายกับแผนกอัยการ รวมทั้งการเกี่ยวข้องกับชาวต่างประเทศ กรมมหาดไทยฝ่ายพลำภัง ให้เป็นเจ้าหน้าที่แผนกปกครองท้องที่ สำหรับการปกครองในส่วนภูมิภาคได้กำหนดรูปแบบการปกครองที่เรียกว่า “เทศาภิบาล” ขึ้นมาใช้ และได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบดูแลโดยจัดแบ่งหัวเมืองออกเป็นมณฑล เมือง และอำเภอ โดยมีสมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการเมืองและนายอำเภอ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตท้องที่นั้นๆ และมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยเหลือปฏิบัติงานในระดับตำบล และหมู่บ้าน กรมมหาดไทยฝ่ายพลำภังจึงเป็นต้นกำเนิดของกรมการปกครอง ซึ่งได้มีการเปลี่ยนชื่อและปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายในมาเป็นลำดับ ดังนี้ พ.ศ. 2458 กรมพลำภัง มีส่วนราชการย่อย…

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)

โครงสร้างของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ทั้งหมด 6 ส่วน[1] O 1. เรื่องทั่วไป แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) มีสถานะเป็นแผนระดับที่ 2 เป็นกลไกที่สำคัญในการแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ และใช้เป็นกรอบสำหรับการจัดทำแผนระดับที่ 3 เพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุเป้าหมายตามระยะเวลาที่คาดหวังไว้ได้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เริ่มต้น ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ครอบคลุมปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งเป็นระยะ 5 ปีที่สองของยุทธศาสตร์ชาติ ในการกำหนดทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อให้ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว…